เมื่อได้ผลผลิตผลแก่เต็มที่ จึงขยายพันธุ์ต่อ จนต้นพันธุ์ช่วงที่ 2 การปลูกอินทผลัมของช่วงที่ 2 นี้ นับว่าเป็นลูกผสมที่เกิดลักษณะเด่นที่ดีหลายประการ ปลูกง่ายคล้ายกับการปลูกมะพร้าว รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักหรือใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ไม่ชอบที่ชื้นแฉะชอบน้ำปานกลาง ช่วงฤดูแล้งควรให้น้ำเพิ่มเล็กน้อย จะช่วยให้การเจริญเติบโตเร็วขึ้น
ลักษณะของใบจะสีออกขาวเงินกว่าอินทผลัมที่ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป เมื่อถูกแสงแดดหรือแสงไฟ ใบจะขาวสว่าง เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกอินทผลัมของต่างประเทศพบว่า ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงให้ผลผลิตเพียง 3 ปีเท่านั้น ซึ่งในต่างประเทศจะต้องใช้เวลานานถึง 7 ปี ไม่มีโรคแมลงรบกวน ข้อดีอีกประการหนึ่ง คือ สามารถให้ผลผลิตได้ปีละ 2 ครั้ง
รุ่นแรกให้ผลผลิตประมาณปลายเดือนมกราคม รุ่นที่ 2 ให้ผลผลิตต้นเดือนกรกฎาคม (ในต่างประเทศให้ผลผลิตปีละ 1 ครั้ง) ให้ผลดก ผลโต เนื้อมาก เมล็ดเล็ก เมื่อผลแก่มีสีเหลืองจัด รับประทานสดได้ทั้งเปลือก เนื้อหวานกรอบ เมื่อผลสุกจะเป็นสีน้ำตาล รสชาติหวานเพิ่มขึ้น วัดความหวานได้ประมาณ 17-20 บริกซ์ หากเก็บไว้ในอุณหภูมิประมาณ 8 องศาเซลเซียส สามารถเก็บไว้ได้หลายเดือนถึง 1 ปี โดยไม่ต้องนำไปแช่อิ่มหรือเชื่อม อีกทั้งผลของอินทผลัมนอกจากรับประทานสดแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการแก้กระหายน้ำ ลดเสมหะในลำคออีกด้วย ขณะนี้ได้รับการรับรองพันธุ์พืชจากกรมวิชาการเกษตรและเป็นพืชอินทรีย์ที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆ ซึ่งสายพันธุ์นี้คงที่ในระดับหนึ่งแล้ว และจะได้ทดลองขยายพันธุ์ด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในโอกาสต่อไป
จึงได้ตั้งชื่ออินทผลัมลูกผสมนี้ว่า "พันธุ์ KL 1(Maejo 36)" โดยใช้ชื่อจากสวน"โกหลัก"และให้เป็นเกียรติแก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้รุ่นที่ 36
ท่านที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ี่
37 หมู่ที่ 1 ตำบลศรีดงเย็น อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ 50320 โทรศัพท์ 081-582-4444, 089-202-5298, (053) 457-081
|